ราคา Ethereum ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นหลังการ Hard Fork EIP 1599 หรือ London Version หลายฝ่ายมองว่าเป็นไปได้สูงที่ Ethereum จะสามารถขึ้นไปแข่งขันกับ Bitcoin ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลอันดับหนึ่งได้และจะฉีกหนีคู่แข่งที่เรียกตัวเองว่า Ethereum Killer ออกไปได้อีก เรามาดูปัจจัยที่จะสนับสนุน Ethereum ให้ไปถึงจุดนั้นได้
การอัพเกรดสู่ ETH2.0
การ Hard Fork EIP1599 เมื่อไม่นานที่ผ่านมานี้ทำให้เกิดกลไกที่จะช่วยลดซัพพลายของ Ethereum ลงจากเดิมที่นักขุดสามารถขุด Ethereum ออกมาได้อย่างต่อเนื่อง โดยจะเริ่มมีการเผาเหรียญ ETH เกิดขึ้นจากก่อนหน้านี้ไม่เคยมีกลไกดังกล่าวมาก่อน
ผลที่จะเกิดขึ้นคือซัพพลายของ ETH ในตลาดจะเริ่มลดลงเพื่อไม่เกิดภาวะเงินเฟ้อซึ่งจะทำให้ Ethereum มีคุณสมบัติที่ใกล้เคียงกับ Bitcoin นั่นคือหากเกิดดีมานด์เข้ามาขณะที่ซัพพลายจำกัดจะเป็นการผลักดันให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นตามกลไกของเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยความหายาก (Scarcity)
รวมถึงปัญหาในการปั่นค่า Gas จะลดลง หากค่าธรรมเนียมลดลงจะเป็นแรงดึงดูดให้นักพัฒนาและผู้ใช้งานหันกลับมาใช้งานเชน Ethereum มากขึ้นหลังช่วงที่ผ่านมาได้มีเชนอื่นที่เกิดใหม่ชูจุดขายของอัตราค่าธรรมเนียมที่ถูกมาชิงส่วนแบ่งไป
ซึ่งการ Hard Fork ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาสู่ ETH2.0 ที่จะเป็นการอัพเกรดระบบเพื่อเพิ่มความเร็ว ประสิทธิภาพ และความสามารถในการปรับขนาดของเครือข่ายและยังเปลี่ยนมาใช้กลไก Proof of Stake (PoS) กล่าวคือจะเปลี่ยนจากการยืนยันธุรกรรมด้วยการขุดมาเป็นการ stake เหรียญไว้ในระบบเป็นการค้ำประกันเพื่อแลกกับสิทธิในการตรวจสอบและยืนยันธุรกรรม โดยการ Staking จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ซัพพลายของ Ethereum ออกไปจากตลาดซื้อขาย
การเติบโตของ DeFi และ NFT
ปฎิเสธไม่ได้ว่ากระแสของ DeFi หรือ Decentralized Finance รวมถึงการซื้อขาย NFT เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของ Ethereum เนื่องจากทั้งสองเทคโนโลยีต่างใช้เชน ETH เป็นโครงสร้างพื้นฐานในการสร้าง dApp หรือแอปพลิเคชั่นแบบไร้ตัวกลางบนบล็อกเชนซึ่งปัจจุบันมีอยู่ถึง 2,369 แอปพลิเคชั่นจากนักลงทุนทั่วโลก

ข้อมูลจาก DeFi Pluse ระบุว่ามูลค่าตลาดหรือเม็ดเงินที่อยู่ในตลาด DeFi เคยขึ้นไปถึงระดับสูงสุด 90,000 ล้านดอลลาร์ ส่วนปัจจุบัน ณ สินเดือนกรกฎาคม ลดลงมาอยู่ระดับ 75,000 ล้านดอลลาร์ แต่หากดูอัตรการเติบโตจะเห็นว่ามีการเติบโตที่รวดเร็วอย่างมากตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา
ผลจากการเติบโตของ DeFi ยังทำให้รายได้ค่าธรรมเนียมหรือค่า Gas ที่เกิดขึ้นของ Ethereum เติบโตอย่างก้าวกระโดดโดยเพิ่มจาก 8 ล้านดอลลาร์ ในช่วง Q1 2020 เพิ่มขึ้นเป็น 1 พันล้านดอลลาร์ ใน Q1 2021 ซึ่งจะดึงดูดให้มีนักลงทุนนำ ETH มาวาง Staking เพื่อรับผลตอบแทนมากขึ้น
ขณะที่ NFT เป็นกระแสที่เติบโตรวดเร็วตั้งแต่ต้นปี 2021 ที่ผ่านมาโดย The Block รายงานวอลลุ่มการซื้อขาย NFT รายสัปดาห์ ทะลุระดับ 300 ล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก โดยอยู่ที่ระดับ 339 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นมากกว่า 70% จากกลางเดือนกรกฎาคม ซึ่งมีวอลลุ่มการซื้อขายรายสัปดาห์ของ NFT ที่ 209.27 ล้านดอลลาร์
เช่นเดียวกับวอลลุ่มการซื้อขาย NFT ในแพลตฟอร์ม OpenSea แตะระดับ 95 ล้านดอลลาร์ ภายในเวลาแค่สองวันซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าวอลลุ่มซื้อขายตลอดทั้งปีที่ผ่านมาถึงสี่เท่า
เปิดสถิติ Ethereum vs Bitcoin ในแง่ผู้ใช้งานและนักลงทุน
แม้จำนวนผู้ใช้งานและผู้ลงทุนใน Bitcoin ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลอันดับหนึ่งจะยังเหนือกว่า Ethereum อยู่พอสมควร แต่หากมองว่าเป็นช่องว่างที่ Ethereum จะสามารถเติบโตขึ้นไปในระดับเดียวกันกับ Bitcoin ได้เช่นกัน

หากนับจำนวน Address ที่มีมูลค่าถือครอง Bitcoin มากกว่า 1,000 ดอลลาร์ ปัจจุบันมีอยู่ด้วยกัน 6 ล้าน Address โดยนับตั้งแต่ปี 2020 มีจำนวน Address เพิ่มขึ้น 2.7 ล้าน Address
ขณะที่จำนวน Address ที่ถือครอง Ethereum ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 1,000 ดอลลาร์ มีจำนวน 2.7 ล้าน Address โดยนับตั้งแต่ปี 2020 มีจำนวน Address เพิ่มขึ้น 2.4 ล้าน Address เท่ากับว่าจำนวน Address ที่ถือครอง Ethereum มูลค่า 1,000 ดอลลาร์ ขึ้นไปมีจำนวนที่น้อยกว่า Bitcoin ถึง 55%

ขณะที่มูลค่าการลงทุนใน Bitcoin โดยนักลงทุนสถาบันอย่างเช่น Grayscale ปัจจุบันมีมูลค่า 32,300 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ Ethereum ยังมีมูลค่าการลงทุนเพียง 11,700 ล้านดอลลาร์ ซึ่งยังห่างจาก Bitcoin ที่ 64%
ส่วนสัญญาซื้อขายตราสารอนุพันธ์ Futures ใน Bitcoin ที่ซื้อขายอยู่ใน Exchange ต่างๆ เห็นได้ว่า Bitcoin Futures มีมูลค่าอยู่ที่ 14,200 ล้านดอลลาร์ จากจุดสูงสุดที่เคยเกิดขึ้น 27,700 ล้านดอลลาร์ ส่วน Ethereum Futures มีมูลค่าอยู่ที่ 7,600 ล้านดอลลาร์ ขณะที่มูลค่าสูงสุดอยู่ที่ 10,800 ล้านดอลลาร์ เท่ากับว่ามูลค่าตลาดของ Ethereum ยังห่างจาก Bitcoin Futures ประมาณ 46%
วิเคราะห์กราฟเทคนิค
หากวิเคราะห์ ราคา Ethereum โดยใช้ Elliot Wave ในภาพใหญ่จะเห็นว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ราคากำลังฟอร์มตัวเข้าสู่ Wave ที่ 3 ในไทม์เฟรมระดับ Week หลังจากสร้างจุดสูงสุดของ Wave1 ไปแล้วที่ระดับ 4,410 ดอลลาร์ และลงมาปรับฐานใน Wave2 ที่ระดับ 1,688 ดอลลาร์

หากแนวโน้มเป็นไปตามคาดปัจจัยพื้นฐานทั้งฝั่งดีมานด์และซัพพลายที่สนับสนุนราคาน่าจะขึ้นไปได้อย่างน้อยคือแนวต้าน Fibonacci 161.8 ที่ระดับ 6,092 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตามนี้เป็นเพียงการใช้เครื่องมือทางเทคนิคในการวิเคราะห์ราคาเท่านั้นจะต้องอาศัยเครื่องมืออื่นๆในการประกอบการวิเคราะห์ด้วย
ท่ามกลางการเกิดขึ้นของผู้ที่เรียกตัวเองว่า Ethereum Killer ที่เข้ามาโจมตีจุดอ่อนของ Ethereum ในเรื่องของเทคโนโลยีที่เก่าและช้า แต่ตอนนี้ The Empire กำลังจะ Strike Back ผู้นำอันดับหนึ่งจะสามารถฉีกหนีคู่แข่งที่ตามมาติดๆไม่ว่าจะเป็น Binance Smart Chain,Polygon Network,Terra Chain ฯลฯ ได้หรือไม่ต้องติดตามชนิดตาไม่กระพริบ
บทความที่เกี่ยวข้อง : รีวิว KUCOIN เวบเทรดคริปโตที่มีโปรดักต์ไม่เหมือนใคร
>>สนับสนุนแอดมินด้วยการสมัครเทรด Binance ผ่านลิงค์ของแอดได้ส่วนลดค่าธรรมเนียม 20% ครับhttps://bit.ly/3o2xJZc
เข้า Line Open Chat พูดคุยเรื่องการเทรดคริปโตกันครับhttps://bit.ly/2VOp4R3
>>ไม่พลาดการ Update Content ด้วยการเข้ากลุ่ม Telegramhttps://t.me/joinchat/k7YFH93Sr3MzNjk1
>> กด Subscribes ช่องยูทูปด้วยนะครับhttps://bit.ly/3fKChSz