ราคา Bitcoin ถูกเทขายลงมาจากจุดสูงสุด 65,000 ดอลลาร์ ลงมาแตะระดับ 42,000 ดอลลาร์ เป็นการปรับตัวลดลงกว่า 33% ถือได้ว่า Bitcoin เข้าสู่สภาวะหมีอย่างเต็มตัว แล้วหลังจากนี้แนวโน้ม ราคา Bitcoin จะเป็นอย่างไรต่อไป หากวิเคราะห์ด้วยกราฟเทคนิค
แนวรับสำคัญห้ามหลุดเด็ดขาดที่ระดับ 42,000 ดอลลาร์
เนื่องจากระดับราคาดังกล่าวคือเส้น EMA200 และยังเป็นจุดต่ำสุดเดิมที่มีการ Breakout ครั้งสำคัญขึ้นมา สังเกตุได้จากแท่งเทียนในวันนั้นที่เป็น Big White มีแรงซื้อเข้ามามหาศาลและบางส่วนน่าจะเป็นนักลงทุนสถาบันด้วย

นอกจากนี้หากกลับมายืนเหนือทรง Price Pattern แบบ Head And Shoulder ที่ระดับแถวๆ 44,000 ดอลลาร์ ไม่ได้ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะเป็นขาลงเช่นกัน
สมมุติฐานการพักฐานในขา C ของ Wave5 สองรูปแบบ
หากวิเคราะห์ด้วย Elliot Wave การปรับฐานลงมาแตะ 42,000 ดอลลาร์ อาจมองได้สองแบบคือ แบบแรกการปรับฐานขา C ซึ่งจะมี Pattern 1-5 ได้ลงมาถึงจุดที่ 5 แล้ว หมายความว่าหลังจากนี้การปรับฐานจบลงแล้วและกำลังเริ่มต้น Wave1 ย่อยใหม่ซึ่งจะเป็นขาขึ้น

แบบที่สอง หากมองว่าการปรับตัวลงมาแตะ 42,000 มีโอกาสเป็นแค่จุดที่ 1 ของขา C เท่านั้นยังมีการเด้งจุดที่ 2 และลงหลักในจุดที่ 3 ต่อจนลงไปทำ Low ในจุดที่ 5 หากเป็นแบบนี้ก็แสดงว่ายังลงได้ต่อซึ่งอาจจะได้เห็น Bitcoin มีเลข 3 นำหน้า

ระยะสั้นราคาอาจมีเด้งขึ้นเพราะสมมุติฐานแบบที่ 1 และ 2 ต่างบอกว่ามีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ แต่ต้องดูว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน ถ้าไปได้ไม่ไกลกว่า 60,000 ดอลลาร์ ก็มีสิทธิที่จะลงได้ต่อ
หากหลุดระดับ 42,000 ดอลลาร์จะลงไปได้ถึงไหน?
หากวัดเป้าการปรับฐานในระยะสั้นโดยใช้ Fibonacci Retracement จากขา A ไปยังขา B เพื่อหาเป้าการปรับฐานของขา C จะเห็นว่ามีโอกาสลงมาที่เป้าหมายระดับ 161.8% ที่ 38,868 ดอลลาร์ ได้

และถ้าวัดเป้า Fibonacci Retracement ในภาพใหญ่จากจุดต่ำสุดของ Wave2 ที่ระดับ 3,227 ดอลลาร์ ไปยังจุดสูงสุด 65,000 ดอลลาร์ ซึ่งมีโอกาสสูงที่จะเป็นยอดสูงสุดของ Wave3 ที่กินเวลานานกว่าสองปีครึ่ง หากการปรับฐานรอบนี้จะเป็น Wave4 ใหญ่ โอกาสที่จะลงมาแนวแรกคือ 41,412 ดอลลาร์ ซึ่งเกือบจะถึงไปแล้ว

แต่ถ้าหากปรับฐานลงมาต่อแนวรับถัดไปคือที่ระดับ 50% ที่ 34,131 ดอลลาร์ และยังอาจจะลงได้ถึงระดับ 61/8% ที่ระดับ 26,849 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตามเราคงไม่น่าจะได้เห็น Bitcoin ลงต่ำกว่าระดับ 20,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของ Wave1 ใหญ่
สถิติระบุหลัง Halving หนึ่งปีราคาจะร่วงแรงอยู่แล้ว
สถิติเดิมระบุว่าปีที่มีการ Halving ราคา Bitcoin จะปรับตัวขึ้นสร้างจุดสูงสุดใหม่ทุกครั้งแต่ถ้าเวลาผ่านไป 1 ปีราคาจะมีการปรับฐานแรงทุกครั้งด้วยเช่นกัน โดย Halving ครั้งที่สามซึ่งเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคมปี 2020 ถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาหนึ่งปีเต็มแล้ว การที่ราคาจะปรับฐานลงก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
อย่างไรก็ตามพื้นฐานของ Bitcoin เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก มีกลุ่มนักลงทุนสถาบันและบริษัทจดทะเบียนซึ่งเป็นกลุ่มที่ลงทุนระยะยาวเข้ามาถือมากขึ้น สถาบันการเงินระดับโลกเข้ามาเกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรม Bitcoin มากขึ้น รวมถึงการมีนักลงทุนรายย่อยเข้ามาในตลาดมากขึ้น
บทความที่เกี่ยวข้อง : BITCOIN ในกำมือของ ELON MUSK เราจะเอาตัวรอดได้อย่างไร??
เราจึงไม่น่าจะได้เห็นการปรับฐานที่หนักเหมือนในปี 2018 ซึ่งปีนั้น ราคา Bitcoin ปรับตัวลงจากจุดสูงสุด 20,000 ดอลลาร์ ลงมาที่ 5,700 ดอลลาร์ หรือลดลง 70% และถ้านับจุดต่ำสุดที่ระดับ 3,000 ดอลลาร์ จะเป็นการลดลงกว่า 85%
หาก Bitcoin ปรับฐานลงระดับ 70% จากจุดสูงสุด 65,000 ดอลลาร์ จะอยู่ที่ระดับ 20,000 ดอลลาร์ ซึ่งยากมากที่ราคาจะลงมาถึงระดับนั้น หากคาดการณ์ว่าปรับตัวลดลง 50% ก็จะลงมาถึงระดับ 33,000 ดอลลาร์ ซึ่งดูแล้วเป็นตัวเลขที่ดูเป็นไปได้มากกว่า
แล้ว Bitcoin จะเป็นอย่างไรต่อไป??
หลังการปรับฐานในรอบนี้เสร็จซึ่งจะเป็นการจบรอบ Wave4 ขึ้นไปต่อที่ Wave5 ซึ่งจะต้องสร้างจุดสูงสุดใหม่เหนือกว่าระดับ 65,000 ดอลลาร์ อย่างแน่นอนแต่จะไปได้ไกลแค่ไหนต้องหาจุดต่ำสุดของ Wave4 ให้เจอเสียก่อน โดยคาดว่าจะได้เห็นจุดสูงสุดของรอบขาขึ้นใหญ่นี้ที่ระดับ 80,000-100,000 ดอลลาร์ ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงการพักฐานอีกครั้ง
Bitcoin เดินทางมาไกลกว่าที่คิดไว้มากแล้ว มีคนทั่วโลกให้การยอมรับ การพุ่งขึ้นและพักฐานเป็นวัฐจักรราคาที่เกิดขึ้นกับทุกสินทรัพย์ที่เราต้องยอมรับและปรับตัวให้ได้
** คอร์สออนไลน์ “มือใหม่เริ่มลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล” นอกจากเรียนทฤษฎีทางออนไลน์แล้วยังได้เรียนสดทาง Zoom กับผู้สอนทุกสัปดาห์อีกด้วย รายละเอียดคลิ๊กที่นี้