ราคา บิทคอยน์ ร่วงลงจากจุดสูงสุด 65,000 ดอลลาร์ ลงมาทำจุดต่ำสุดที่ 30,000 ดอลลาร์ เป็นเวลานานกว่าหนึ่งเดือนที่ราคาไม่สามารถที่จะฟื้นตัวเหนือ 40,000 ดอลลาร์ ได้ จนหลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า ราคา บิทคอยน์ จะไปต่อได้อีกไหมหรือจะพอแค่นี้??
บทความนี้จะมาวิเคราะห์ทั้งปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคเพื่อที่จะคาดการณ์ถึงทิศทางราคาบิทคอยน์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้
ข่าวร้ายคือเรื่องเก่า
หากจะพิจารณาข่าวที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาที่ดูส่งผลกระทบต่อราคาบิทคอยน์ในทางลบจะเห็นว่ามีทั้งที่เป็น “ประเด็นเก่า” ที่นำมาเล่าใหม่และบางครั้งเกิดจากทวีตของ Elon Musk เท่านั้น โดยขอยกข่าวสำคัญขึ้นมาอธิบายดังนี้
หน่วยงานทางด้านการเงินของจีนประกาศแบนคริปโตประกาศนี้มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2017 แล้ว แค่เป็นการประกาศย้ำอีกครั้งและคนจีนเองก็มีช่องทางซื้อขายและถือครองบิทคอยน์ของเขาเองอยู่แล้ว ไม่ได้เป็นประเด็นใหม่ที่กระทบต่อพ้นฐานจริงๆของบิทคอยน์แต่อย่างไร เช่นเดียวกับข่าวการแบนโซเชียลมีเดียที่เกี่ยวกับคริปโตในจีน
รัฐบาลจีนสั่งระงับการขุดบิทคอยน์อาจจะพอมีส่วนที่กระทบต่อปัจจัยพื้นฐานจริงๆของบิทคอยน์อยู่บ้างเพราะจีนคือฐานการขุดเหมืองบิทคอยน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการขุดจะหายไปทั้งหมดเพราะ Master Node ได้ถูกกระจายไปทั่วโลกตั้งนานแล้ว
อย่าลืมว่าไม่มีใครที่สามารถแบนบิทคอยน์ตรงๆได้ ทำได้แค่สะกัดกั้น Fiat Currency ใหม่ที่จะย้ายมาเข้าสู่ Cryptocurrency เท่านั้น แต่สำหรับผู้ที่มีความเชื่อในบิทคอยน์ ประเด็นแค่นี้ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว

ส่วนข่าวที่รัฐบาลสหรัฐฯจะทำการแบนและเก็บภาษีคริปโต เป็นเพียงแค่ข่าวที่ออกมาจาก Twitter ที่มีคนติดตามแค่สามพันคนเท่านั้นและไม่เคยมี Statement อย่างเป็นทางการใดๆที่ออกมาพูดถึงเรื่องนี้
ทวีตด้านลบของ Elon Musk ที่เกี่ยวกับบิทคอยน์ (ขอรวบทั้งหมดเข้าด้วยกันเพราะมีถี่มาก) การที่ Tesla และ Elon Musk แสดงความเห็นเกี่ยวกับบิทคอยน์เป็นแค่ผลกระทบทางจิตวิทยาเท่านั้น เอาจริงแล้ว Tesla ถือครองบิทคอยน์แค่ประมาณ 0.1% ของซัพพลายทั้งหมดเท่านั้น จะขายก็แทบไม่มีผลใดๆหรอกเอาจริง ถือเป็นแค่ Noise ของตลาดท่านั้น
บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง : BITCOIN ในกำมือของ ELON MUSK เราจะเอาตัวรอดได้อย่างไร??
ข่าวดีคือเรื่องใหม่
ขณะที่ “ข่าวดี” ที่เกิดขึ้นล้วนแล้วแต่เป็นประเด็นใหม่ที่น่าสนใจทั้งสิ้น โดยเฉพาะการที่ประเทศ El Salvador ประกาศที่จะศึกษาเรื่องของการนำบิทคอยน์มาใช้เป็นส่วนหนึ่งของทุนสำรองระหว่างประเทศ ถือเป็นสตอรี่ใหม่ที่อนาคตหากมีการร่างกฎหมายดังกล่าวจริง บิทคอยน์จะมีผู้เล่นหน้าใหม่คือธนาคารกลางเกิดขึ้น แม้จะเป็นเพียงชาติเล็กๆแต่ก็ถือว่าเป็น Narrative ใหม่ที่มีอิมแพ็คสูง
ส่วนการที่ Ray Dalio ผู้ก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ Bridgewaters ออกมาพูดว่าได้ถือครองบิทคอยน์ แม้จะไม่ได้ระบุว่าถือในนามส่วนตัวหรือกองทุนรวมถึงมูลค่าเท่าไร แต่ Narrative
ขณะที่สถาบันการเงินต่างๆยังคงเดินหน้าเปิดให้ทำธุรกรรมเกี่ยวกับคริปโตได้อย่างล่าสุดคือธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ ก็ยังคงเป็นสตอรี่เชิงบวกในสายของสถาบันการเงิน
การเข้าซื้อบิทคอยน์อย่างต่อเนื่องของ Microstrategy ตลอดจน Ark Invest ที่ตัดสินใจเข้าซื้อลงทุนบิทคอยน์โดยตรง ถือเป็นประเด็นที่สร้างผลกระทบเชิงพื้นฐานจริงๆของบิทคอยน์
สรุปก็คือพื้นฐานของบิทคอยน์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปในทางลบแต่อย่างไรแต่กลับเปลี่ยนแปลงในทางบวกเสียด้วยซ้ำข่าวร้ายที่เข้ามาเป็นแค่ผลกระทบเชิงจิตวิทยาเท่านั้น
แล้วใครคือคนทุบราคาบิทคอยน์และซื้อกลับ??
เราคงไประบุชัดๆว่าใครขายบิทคอยน์ก็คงไม่ได้ แต่ต้องไม่ลืมว่าบิทคอยน์ปรับตัวขึ้นมากว่า 1,300% จากราคาต่ำสุดในช่วงเดือนมีนาคม 2020 มาอยู่ที่จุดสูงสุด 65,000 ดอลลาร์ ไม่แปลกที่จะมีนักลงทุนบางกลุ่มขายทำกำไรออกมาบ้าง

ประเด็นที่น่าสนใจคือซัพพลายของบิทคอยน์ที่อยู่ใน Exchange หรือซื้อขายในตลาดรองมีจำนวนลดลงอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลของ Glassnode แสดงให้เห็นว่าจำนวน Bitcoin ที่ถูกดึงออกจากตลาดที่มีสภาพคล่องซื้อขายมีปริมาณที่ค่อนข้างมากอย่างมีนัยยะสำคัญ ตั้งแต่ราคาลงไปทำจุดต่ำสุดในเดือนมีนาคมปีที่แล้ว บ่งบอกว่ากลุ่มนักลงทุนรายใหญ่น่าจะเป็นผู้ดูดซัพพลายเหล่านี้ออกมาเก็บไว้นอก Exchange

ขณะที่อีกภาพจะเห็นว่าการสร้าง Stablecoins ใหม่เข้ามาในระบบยังมีอย่างต่อเนื่องแม้ว่าราคาบิทคอยน์จะปรับฐานก็ตามสิ่งนี้ระบุว่ายังมีความต้องการซื้อบิทคอยน์อยู่มากในตลาด
ทิศทางราคาจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป
ณ ปัจจุบัน Bitcoin กำลังอยู่ในช่วงของการปรับฐานใน Wave ที่ 4 หลังจากที่ Wave3 ซึ่งเป็นคลื่นขาขึ้นที่ยาวนานที่สุดได้ผ่านไปแล้วที่จุดสูงสุดราคา 65,000 ดอลลาร์ ส่วนใน Wave รองลงมาเราได้ผ่าน Wave 5 ซึ่งมีจุดสูงสุดเดียวกับ Wave 3 ใหญ่นั่นคือ 65,000 ดอลลาร์

คำถามสำคัญคือ Bitcoin กำลังจะจบการพักฐานแล้วหรือยังเพื่อที่จะกลับไปเป็นขาขึ้นครั้งใหญ่นั่นคือ Wave ที่ 5 ซึ่งจะต้องสร้างจุดสูงสุดใหม่เหนือกว่า Wave ที่ 3 ระดับเหนือ 65,000 ดอลลาร์ ขึ้นไป

หากนับแพทเทิร์นในช่วงของ Corrective Wave ที่เกิดขึ้นต่อจาก Wave ที่ 5 จะเห็นได้ว่ารูปแบบที่เกิดขึ้นเข้าสูตรของการพักฐาน 5 ขา เท่ากับว่า ณ สถานการณ์ปัจจุบัน (ต้นเดือนมิถุนายน 2021) กำลังจะจบการพักฐานในขา 5 แล้ว หลังจากนี้ไปจะเข้าสู่โหมดของการฟื้นตัว
หากมอง Corrective Wave ที่เกิดขึ้นนี้เป็นรูปแบบ Zig Zag จะต้องเกิดรูปแบบของราคาก็คือพักฐาน A และฟื้นตัวในขา B แต่ในที่สุดก็จะต้องมีการลงในขา C อีกครั้ง ก่นที่จะกลับไปเริ่มต้นไซเคิลขาขึ้นใหม่ใน Wave 1 ในคลื่นรอง แต่จะเป็น Wave 5 ในคลื่นใหญ่
ภาพของ Corrective Wave ในขา B และ C ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้อาจจะกินเวลา 2-3 เดือนขึ้นไปหรือมากกว่านั้น หากเปรียบเทียบจากการพักฐานขา A ที่ใช้เวลาเกือบสองเดือน ช่วงเวลาหลังจากนี้จึงอาจจะได้เห็นความผันผวนของราคาในระดับสูงแน่นอน

เงื่อนไขสำคัญคือการพักฐานครั้งสุดท้ายในขา C จะต้องไม่ลงมาต่ำกว่ายอดสูงสุดของ Wave 1 นั่นคือที่ราคา 20,000 ดอลลาร์ หากต่ำกว่านั้นก็จะทำให้จุดสูงสุดใหม่ของ Wave 5 อาจจะไปได้ไม่ไกลไปกว่าจุดสูงสุดเดิมนั่นคือ 65,000 ดอลลาร์ ก็เป็นได้
บทสรุปก็คือการพักฐานที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นแรงเทขายของผู้ที่ถือบิทคอยน์มาเป็นเวลานานในราคาต่ำๆและมีความเข้าใจในวัฐจักรของราคาที่หลังจากการเกิด Halving จะต้องมีการสร้างจุดสูงสุดใหม่และพักฐานอย่างรุนแรงจึงอาจจะขายและรอที่จะกลับเข้ามาซื้อใหม่อีกครั้ง
ขณะเดียวกันเราอาจจะได้เห็นนักลงทุนหน้าใหม่ที่เข้ามาช้อนซื้อในช่วงของการพักฐานที่เกิดขึ้นนี้ก็เป็นได้และน่าจะได้เห็น Narrative ใหม่ของ Bitcoin ที่อาจจะมีธนาคารกลางของชาติเล็กๆเริ่มเข้ามาเป็น Player ใหม่หรือมีนักลงทุนสถาบันใหม่เพิ่มเข้ามาก็เป็นได้
ขาขึ้นของบิทคอยน์ยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้ ในช่วงของการพักฐานแบะสะบัดเม่าให้ออกไปจากเกมส์ครั้งนี้อาจจะอึดอัดและยากลำบากแต่หากเราสามารถผ่านไปได้ ผลตอบแทนที่สูงกำลังรอเราอยู่